ฉันก็คือ อานุภาคเล็กจิ๋วสุดในสกลจักวาล ที่กระแสแห่งกุศลกรรม ได้พัดพาให้มาอยู่ในภพภูมินี้. ฉันได้ฟื้นฟูพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" และ สรรพศาสตร์ ที่สาปสูญ กลับมาเผยแผ่แก่ชนทั่วไป โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เพื่อประโยชน์สุข สมปรารถนา ของปวงประชาคมโลก.
"พระ" มิใช่หมายถึงการโกนหัว ห่มผ้าเหลืองคือเครื่องหมาย แต่ความหมายของคำว่า "พระ คือ ถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษ" อันเกิดจากอำนาจแห่งสัจจะ ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้บวช ก็สามารถเป็น "พระ" ได้ พระพุทธองค์ทรงตรัสรับรองไว้ช้ดว่า "พระอยู่ที่ใจ"
คือ สามารถประสานคลื่นพลังแห่งพุทธานุภาพ ด้วยคลื่นของสัจจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ได้อย่างมั่นคง ย่อมไม่ลังเลสงสัย เปรียบเสมือนไม่ลังเลสงสัยว่าในเบ้าไฟฟ้า นั้นมีกระแสอยู่ฉันนั้น ด้วยพลังแห่งสัจจะ
จะต้องกระทำด้วย "สัจจะวาจา" เท่านั้น เพราะพลังแห่งพุทธานุภาพนั้นเป็นคลื่นพลัง ผู้ที่จะเข้าถึงพุทธานุภาพ จึงต้องฝึก "สร้างคลื่นสัจจะ" คือการรวมวาจากับใจ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นความตั้งใจจริงแท้ที่จะตายไปจากชีวิตเก่าและพร้อมที่จะเกิดใหม่ เชื่อมั่นโดยปราศจากข้อสงสัย จากนั้นจึงเปล่งเสียงว่า "อิมาหัง ภันเต ภควา...."
เป็นคลื่นเสียงที่เปล่งออกมาด้วยความถึงพร้อมด้วยวาจา และ ใจ อันเป็นสภาวะของปริกรรมจิต แห่ง อุปจารสมาธิ
ในพระวินัยของภิกษุการใช้อัฐบริขาร ต้องผ่านการอธิษฐาน ซึ่งจะต้องใช้ "สัจจะวาจา" คือ การถึงพร้อมด้วยวจีสังขาร และมโนสังขาร รวมประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
คือ ไม่ลังเลสงสัยในพลังแห่งพุทธานุภาพ มีความศรัทธาที่มั่นคง แม้อยู่ในสถานการณ์เจียนตายก็ไม่หวั่นไหว เรียกว่าถึงพร้อมในพลังพุทธานุภาพด้วย "โอปกนศรัทธา" การที่จะทำมนสิการ คือ น้อมนำพลังแห่งพุทธานุภาพเข้ามาคุ้มครองตัวเราได้ ต้องอาศัยคลื่นพิเศษ นั่นคือ "คลื่นแห่งสัจจะ"
พร อันเกิดจากสัจจวาจา แห่งความถึงพร้อมนั้น จึงปรากฏผลประจักษ์จริง เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงสภาวะ และชีวิต ฐานะ ของผู้รับนั้นได้ ปรากฏผลในฉับพลันทันที โดยมิต้องรอคอย ด้วยอำนาจพลังแห่งสัจจะ ของภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษ จึงเรียกว่า "พระ" ซึ่งแปลว่า "ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษ" การจะเป็น "พระได้จึงต้องปฏิบัติให้เข้าถึง "สัจจะ"
"คุณวิเศษ" อันเหนือไปจากบุคคลธรรมดา จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วย "พลังแห่งสัจจะ" ในขณะของมหคตจิต ที่วจีสังขาร(เสียงจากปาก) และ มโนสังขาร(เสียงจากใจ) รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เสียงที่เปล่งออกมานั้นเรียกว่า "สัจจวาจา" ใช้ในการอธิษฐาน ของพระภิกษุซึ่งพระพุทธองค์ระบุเป็นพระวินัย ดังนั้นภิกษุจึงต้องเพียรปฏิบัติเพื่อเข้าถึง "สัจจะ"
คือการถึงพร้อมด้วยสัจจะ ซึ่งประกอบด้วยภาวะแห่งไตรพิธสังขารอันได้ฝึกฝนการปฏิบัติสัจจะ เพราะ "สัจจะ เป็น อธิศีล" คือ ศึลของพระอริยบุคคล เรียกว่า "สัจจธรรม" การถึงพร้อมของวาจาใจ นั้นเป็นองค์มรรค เรียกว่า "สัมมาวาจา" อันเป็นกุญแจที่ไขไปสู่หนทางพระนิพพานเรียกว่า "มคฺคสัจจะ" "ธรรมะ แปลว่า ที่ตั้ง" สัจจธรรม คือ ที่ตั้งแห่งความจริงแท้ ด้วยเหตุดังนี้